ธนาคารกลางหลายแห่งกำลังให้ความสนใจในบล็อกเชน เพื่อเป็นวิธีการในการลดการฉ้อโกงหรือธุรกรรมที่น่าสงสัย
เทคโนโลยีสมุดบัญชีสาธารณะอย่างบล็อกเชน มีการเก็บข้อมูลธุรกรรมไว้ในเครือข่าย สามารถป้องกันการทำซ้ำ และลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงได้ ทำให้เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการทำให้ธนาคารสามารถทำตามนโยบายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรวมไปถึงการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า (KYC) ได้ดีขึ้น อ้างอิงจาก สมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกำกับตลาดของฮ่องกง
Benedicte Nolens หัวหน้าฝ่ายบริการความเสี่ยงและกลยุทธ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของฮ่องกง (Hong Kong Securities and Futures Commission) กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้สามารถนำมาใช้ในวงการสถาบันการเงิน ซึ่งมีปัญหาที่กำลังรอการแก้ไขอยู่
Nolens ได้กล่าวไว้ที่การประชุม MIT Technology Review Emtech "ผมคิดว่าการตรวจสอบลูกค้า (KYC) และนโยบายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและยังคงมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ หากเรามาดูกันจริงๆ ก็จะพบว่า ธนาคารจะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ถึง 1หมื่นล้านหรือมากกว่า สำหรับการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า (KYC)
การใช้เทคโนโลยีสมุดบัญชีสาธารณะเพื่อการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า (KYC) สามารถช่วยลดความผิดพลาด การทำซ้ำ และสามารถสร้างบันทึกของการตรวจสอบข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดได้
ในช่วงต้นปีนี้กลุ่ม Steering Group on Financial Technology ในฮ่องกงได้บอกว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งอยู่เบื้องหลังสกุลเงินบิทคอยน์ ว่าสามารถนำมาใช้ในวงการการเงินเพื่อลดจำนวนของธุรกรรมที่น่าสงสัย และลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
ธนาคารกลางรวมไปถึง ธนาคารแห่งประเทศจีน (The People's Bank of China : PBOC) และธนาคารกลางของอังกฤษยังให้ความสนใจในการใช้บล็อกเชนและสกุลเงินดิจิตอล ในขณะที่เมื่อเดือนมกราคมธนาคารกลางของอเมริกาได้ทำการจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับบล็อกเชนกว่า 15 ชิ้น
Nolens บอกว่าขณะที่นโยบายอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงช้าเทียบกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สถาบันทางการเงินควรทำให้แน่ใจว่าการใช้เทคโนโลยีนั้นเป็นไปตามกฏระเบียบที่เกี่ยวข้อง
การใช้งานในธนาคารยังรวมไปถึงการเทรดหรือการดำเนินการตามประกาศของบริษัทจดทะเบียน
Nolens ยังบอกอีกว่าเนื่องจากการปรับใช้ไอเดียใหม่ๆ ในธนาคารอาจจะใช้เวลา บล็อกเชนอาจจะสามารถใช้งานได้เร็วกว่าเนื่องจากว่าไม่มีขั้นตอนนี้ที่ดำเนินการอยู่แล้ว
"อย่างที่คุณคงรู้ว่า เราสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ในวงการเทคโนโลยีการเงินได้หลายมุมมอง เช่น ธนาคารดิจิตอล, การระดมทุนสาธารณะ, การชำระบัญชีของสินทรัพย์เอกชน ซึ่งการเริ่มใช้งานอาจจะเกิดขึ้นได้ในส่วนที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินสำนักงาน
Tim Swanson หัวหน้าฝ่ายวิจัยการตลาดของ R3 ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำสมาคมสถาบันทางการเงินกว่า 40 แห่งในด้านการออกแบบเทคโนโลยีสมุดบัญชีสาธารณะ ได้บอกไว้ว่ามีความกดดันต่อธนาคารที่ได้ทำการลงทุนทรัพยากรไปกับเทคโนโลยีนี้ ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง
"ถ้าอุตสาหกรรมไม่มีการนำเสนอผลงานออกมาภายใน 12 เดือนข้างหน้านี้ จะเป็นการเสียต้นทุนทางสังคมเป็นอย่างมาก" Swanson บอกไว้
"เนื่องจากผู้อำนวยการของสถาบันหลายแห่งได้ใช้เวลามากมายในการของบประมาณและบุคลากร โดยเชื่อว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะสั้น"
Swanson ยังบอกอีกว่าสตาร์อัพหลายแห่งได้ประโยชน์จากความนิยมของเทคโนโลยีเหล่านี้ในการทำงานร่วมกับสถาบันทางการเงิน แต่เรายังเปิดเผยไม่ได้
วันที่: 08 มิถุนายน 2016 20.00 น.
ยังไม่มีกระเป๋าบิทคอยน์กับ coins.co.th? คลิก ที่นี่ เพื่อดูวิธีการสมัคร
เติมเงินเข้ากระเป๋าของคุณด้วยการ ซื้อบิทคอยน์ วันนี้!